เกร็ดความรู้3 (Knowledge 3)
Knowledge tip 3
ป้องกันการตกจากที่สูงอย่างปลอดภัย
การจัดอบรมหลักสูตรความปลอดภัยฯ ช่วงโควิด-19
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ให้นายจ้างบุคคล นิติบุคคล ผู้ให้บริการฝึกอบรมตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑. ให้นายจ้าง บุคคล นิติบุคคล ผู้ให้บริการฝึกอบรม หลักสูตรฝึกอบรมตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ดังต่อไปนี้ ดำเนินการจัดฝึกอบรมด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
(๑) การฝึกอบรมผู้บริหาร หัวหน้างาน และลูกจ้างด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามความในมาตรา ด๖ แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔
(๒) หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคชั้นสูง หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร หลักสูตรการอบรมคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ของสถานประกอบกิจการ และหลักสูตรหัวหน้าหน่วยงานความปลอดภัย
(๓) หลักสูตรการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ. ๒๕๖๒
(๔) หลักสูตรการฝีกอบรมความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าสำหรับลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๘
(๕) หลักสูตรการอบรมการดับเพลิงขั้นต้น ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕
๒. ในการฝึกอบรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้จัดการฝึกอบรมปฏิบัติ ดังนี้
(๑) การแจ้งกำหนดการก่อนดำเนินการจัดอบรมต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอริบตีมอบหมายตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ในแต่ละหลักสูตร
(๒) จัดให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าอบรมตามระยะเวลาและหัวข้อวิชาตามหลักสูตรที่กฎหมายกำหนดไว้
(๓) จัดให้มีเอกสารประกอบการอบรมตามรายละเอียดเนื้อหาที่กำหนดไว้ในแต่ละหลักสูตร
(๔) จัดวิทยากรและจำนวนวิทยากรตามคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
(๕) จัดให้มีผู้เข้าอบรมภาคทฤษฎีต่อการอบรมหนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งห้องอบรมไม่เกินหกสิบคน และภาคปฏิบัติไม่เกินสิบห้าคนต่อวิทยากรหนึ่งคน หรือเป็นจำนวนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ในแต่ละหลักสูตร
(๖) มีมาตรการควบคุมและตรวจสอบการเข้าอบรมเต็มเวลาตลอดหลักสูตรที่อบรม
(๗) มีการวัดผลและประเมินผลผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรที่อบรมตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้
(๘) จัดให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถซักถาม-โต้ตอบ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
(๙) จัดให้มีการบันทึกเสียง หรือทั้งเสียงและภาพของผู้เข้ารับการอบรมทุกคนตลอดระยะเวลาที่มีการอบรมในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
(๑๐) จัดให้ผู้เข้ารับการอบรมแสดงตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก่อนการอบรม และจัดเก็บข้อมูลจราจรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้เข้ารับการอบรมทุกคนไว้เป็นหลักฐาน
(๑๑) จัดทำรายงานผลการฝึกอบรมและส่งหลักฐานการฝึกอบรมต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย หรือเก็บหลักฐานไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยสามารถตรวจสอบได้การดำเนินการใดๆ ที่เกี่วข้องกับการฝึกอบรมตามวรรคหนึ่ง เช่น การส่งหนังสือ เอกสารประกอบการอบรม การแจ้งกำหนดการก่อนดำเนินการจัดอบรม ให้ดำเนินการทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
ต. กรณีหลักสูตรการกอบรมที่ต้องมีการฝึกภาคปฏิบัติ ผู้จัดการฝึกอบรมต้องดำเนินการให้มีการฝึกปฏิบัติจริง และได้รับการฝึก
ใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการฝีกอบรมอย่างทั่วถึงทุกคน โดยให้คำนึงถึงหลักวิชาการและผลลัพธ์ที่ผู้เข้ารับการฝึกภาคปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติงาน
ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องดำเนินการ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของภาครัฐละมีมาตรการด้านสาธารณสุขรองรับในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ในแต่ละพื้นที่อย่างเคร่งครัด
๔ กรณีผู้ดำเนินการฝึกอบรมไม่ดำเนินการตามประกาศนี้ อาจถูกบังคับให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เช่น พักใช้ เพิกถอนใบอนุญาต เป็นต้น
๕ การฝึกอบรมตามประกาศนี้ ให้มีผลใช้ดำเนินการไปจนกว่ารัฐบาลจะมีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) หรือจนกว่ากรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ความปลอดภัยในการทำงานกับเครื่องจักร
สาเหตุของอุบัติเหตุจากเครื่องจักร
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรนั้น ส่วนใหญ่ค่อนข้างร้ายแรง อาจถึงขั้นสูญเสียอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น นิ้วมือ มือ หรือแขน เป็นต้น
อันเป็นผลให้ผู้บาดเจ็บต้องพิการไปตลอดชีวิต สาเหตุหลักๆของการเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องจักร ได้แก่
จากเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ (Hardware) ไม่มีการติดตั้งเครื่องป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรที่เรียกว่า การ์ดหรือเซฟการ์ดที่เหมาะสม
ให้กับเครื่องจักรที่มีส่วนจุดที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุโดยเฉพาะเครื่องปั้มโลหะ เครื่องจักรบางเครื่องที่มีการติดตั้งเซฟการ์ดเฉพาะด้านที่คิดว่าผู้ปฏิบัติงาน
หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะไปสัมผัสหรือทำงาน แต่ด้านที่ไม่มีเซฟการ์ดมักทำให้ช่างซ่อมบำรุงได้รับอันตรายอยู่เสมอ นอกจากนี้เครื่องจักรบางเครื่องได้มีการติดตั้ง
เซฟการ์ดเรียบร้อยแต่ปรากฏว่ารูหรือช่องตะแกรงของเซฟการ์ดนั้นมีขนาดโตเกินไป ทำให้นิ้วหรืออวัยวะของร่างกายลอดผ่านเข้าไปได้
การป้องกันอันตรายที่เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ก็คือการจัดทำเครื่องป้องกันอันตรายจากเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ หรือที่เรียกว่า
การ์ดหรือเซฟการ์ดของเครื่องจักร โดยการออกแบบหรือตามหามาตรการป้องกันมิให้มีอันตรายได้ จึงต้องมีการจัดการทำการ์ดเครื่องจักรให้ถูกต้อง
และเหมาะสมที่สุดลักษณะของการ์ดที่ดี ควรจะมีลักษณะดังนี้
1. เป็นการป้องกันอันตรายที่ต้นเหตุ
2. เป็นการป้องกันมิให้ส่วนของร่างกายเข้าใกล้เขตอันตราย ในบางครั้งการควบคุมหรือการตัดการส่งกำลังของเครื่องจักร อาจทำไม่ได้หรืออาจก่อความเสียหาย
แก่ระบบการทำงานของเครื่องจักรโดยส่วนรวม ดังนั้น การต่อเติมบางส่วนเข้าไปเพื่อป้องกันอันตรายได้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการป้องกันอันตราย
3. ให้ความสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติงานได้เช่นเดียวกับที่ไม่ได้ใส่การ์ดป้องกัน การ์ดที่ดีไม่ควรรบกวนต่อการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นการมอง การจับชิ้นงาน
4. การควบคุมการทำงาน และการตรวจสอบขนาดงาน
5. การ์ดที่ดี ต้องไม่ขัดขวางการทำงาน
6. การ์ดควรเหมาะสมกับงานและเครื่องจักร
7. การ์ดควรมีลักษณะติดมากับเครื่องจักร
8. การ์ดที่ติดตั่งแล้ว ควรง่ายต่อการตรวจและการซ่อมเครื่องจักร
9. การ์ดควรทนทานต่อการใช้งานปกติได้ดีและง่ายต่อการบำรุงรักษา
ต้องฝึกอบรม TRAINING ก่อนใช้เครื่องจักร
- ห้ามใช้เครื่องจักรที่คุณยังไม่ได้รับการฝึกอบรมการใช้งานและยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้
- ความปลอดภัยกับเครื่องจักรนั้น เริ่มจากการฝึกอบรมคุณควรเข้าใจวิธีการทำงานของเครื่องจักรและทราบว่าต้องทำอย่างไร หากเครื่องจักรเดินเครื่องผิดปกติ
- ต้องตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องจักรก่อนการใช้งาน และสังเกตการเคลื่อนไหว เสียง หรือกลิ่นที่ผิดปกติ รวมถึงการรั่วไหลของของเหลว
รู้จักและใช้ปุ่ม ปิดฉุกเฉิน เป็น EMERGENCY SHUT OFF
- ควรทราบวิธีการปิดและตัดไฟเคร่ืองจักรที่เดินเครื่องอยู่ ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
- สังเกตปุ่มฉุกเฉินหรือวาล์ว เพื่อตัดแหล่งพลังงาน ซึ่งอาจเป็นไฟฟ้า ก๊าซอัดระบบไฮดรอลิค ระบบไอน้ำหรือรูปแบบอื่นๆ
สังเกตป้ายแจ้งเตือน SAFETY TAG
- ควรปฎิบัติตามป้ายสัญญาณและป้ายแจ้งเตือนอย่างเคร่งครัด
- เครื่องจักรที่ไม่ปลอดภัย หรือเครื่องจักรรอการซ่อมแซม ควรมีป้ายเตือนชัดเจนและควรล็อกไว้
- อุปกรณ์ล็อกและป้ายเตือนต้องถอดออกได้ โดยบุคคลผู้ได้รับมอบหมายเท่านั้น
ระวังอันตรายจากความร้อนและแสงไฟ HEAT AND LIGHT
- เครื่องจักรบางชนิด มีอันตรายจากความร้อน แสงเลเซอร์ และแสงยูวี จึงควรติดป้ายเตือนอันตรายไว้ในจุดที่เห็นได้ชัดเจน
- ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันความร้อนและแสงที่แหล่งกำเนิด
- สวมอุปกรณ์อันตรายส่วนบุคคล เช่น แว่นตา กระบังหน้า และถุงมือกันความร้อนในขณะทำงาน
ระวังพลังงานตกค้าง STORED ENERGY
เครื่องบางประเภทเครื่องจักรที่มีขนาดใหญ่อาจมีพลังงานสะสมตกค้าง ไว้ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องอยู่ก็อาจก่อให้เกิด การบาดเจ็บ ขึ้นได้
เนื่องจากการทำงานอาจไม่ได้หยุดทันทีหลังจากปิดการใช้งาน อาจเป็นกระแสค้างในตัวเก็บประจุไฟฟ้า ซึ่งอาจปล่อยไฟกลับมาให้เครื่องทำงานอีกครั้ง
หรือพลังงานกลที่คงเหลือใน SPRINGS และส่วนที่มีการหมุนจึงควรระมัดระวังเมื่ออยู่ใกล้เครื่องจักรเหล่านี้และควรศึกษาหลักการทำงานของเครื่องจักร เพื่อให้ทราบถึง ความอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นได้
หลีกเลี่ยงไฟฟ้าแรงสูงและอันตรายจากไฟฟ้า
HIGH VOLTAGE AND ELECTTRICAL HAZARDS
จัดเก็บสายไฟหรือสายเคเบิ้ลให้ถูกที่ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ากับเครื่องจักรและปิดฝาครอบให้เรียบร้อย หากพบสายไฟที่หลุดรุ่ย หรือฉีกขาดควรเร่งแจ้งช่างไฟผู้เชี่ยวชาญทำการเปลี่ยน เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต หรือ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายกับผู้สัมผัสแล้ว ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดไฟไหม้อีกด้วย
ตรวจสอบก๊าซ ระบบไฮดรอลิค และระบบอัดอากาศ GAS , HYDRAULIC , AND COMPRESSED AIR
เครื่องจักรส่วนมากมีแหล่งพลังงาน จากระบบก๊าซ ระบบอัดอากาศ หรือระบบไฮดรอลิคท่อและสายส่ง จึงควรทำการตรวจเช็ครอยรั่วด้วยการสังเกตกลิ่น เสียง และ แรงดัน อยู่เสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องจักรเสียหายหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัยได้
มีสติเมื่อปฏิบัติงานพื้นที่ลื่น SLIPPERY FLOORS
น้ำมัน หรือ ของเหลว บนพื้นที่รอบเครื่องจักรสามารถทำให้คุณ เกิดอันตรายร้ายแรงหากเกิดการลื่นหรือเสียการทรงตัวและหกล้มเข้าไปในตัวเครื่องจักร ฉะนั้นควรรักษาพื้นที่ให้แห้งและสะอาดเสมอ
ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันจุดอันตราย SAFETY GUARD
ติดตั้งฝาครอบส่วนของเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหว เช่น สายพาน รอก เฟืองโซ่และจุดหมุนอื่นๆ ซึ่งสามารถ หนีบ หรือ ดึงนิ้วมือ ผม เสื้อผ้าหรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดการบาดเจ็บได้
สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล PERSONAL PROTECTIVE EQUIPMENT (PPE)
สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลเมื่อต้องทำงานที่มีความเสี่ยงเช่น สวม EAR PLUG หรือ EAR MUFF เมื่อทำงานกับเครื่องจักรที่มีเสียงดังสวมถุงมือ
เมื่อทำงานกับส่วนที่สัมผัสความร้อนหรือ ส่วนที่มีความเหลมคมของเครื่องจักร สวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อทำงานกับเครื่องจักรที่สามารถจับชื้นงานหรือเศษของชิ้นงาน
ออกมาได้และสวมหน้ากากนิรภัย เมื่อต้องทำงานในบรรยากาศที่มีไอระเหยของสารเคมี ฝุ่น และ ไอโลหะ
อุบัติเหตุจากการทำงานเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ หากคนทำงานทุกคนมี SAFETY MIND
" Fresh Everyday "
1. เสียงดังทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินทั้งชั่วคราวและถาวร
2. เสียงดังทำให้เกิดการรบกวนการพูดสื่อความหมาย สัญญาณต่างๆ ถูกรบกวนจากเสียงดัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
3. เสียงดังทำให้เกิดการตกใจความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดปกติและนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
1. การวัดระดับเสียง (Sound Level Meter) เพื่อประเมินระดับเสียงตามกฎหมาย
2. การวัดเสียงวิเคราะห์ความถี่เสียง (Frequency Analyzer) เพื่อวิเคราะห์ความถี่ที่เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดและจัดทำแผนควบคุมเลียง
3. การวัดเสียงกระทบหรือกระแทก (Impulse or Impact Noise Meter)
กรณีมีเสียงดังมากกว่าปกติเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ
4. การวัดเสียงสะสม (Noise Dosimeter) กรณีที่ผ็ปฎิบัติงานมีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งงานเปลี่ยนระดับเสียงที่ไม่คงที่
1. ป้องกันด้วยการปรับปรุงแหล่งกำเนิด
1.1 การออกแบบอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ให้ทำงานมีเสียงเงียบ
1.2 การติดตั้งตัวดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงดัง
1.3 การจัดที่ครอบปิดเครื่องจักร
2. ป้องกันที่ทางผ่าน
2.1 การเพิ่มระยะห่างระหว่างแหล่งกำเนิดกับผู้ปฎิบัติงาน
2.2 การจัดทำห้องหรือฉากด้วยวัสดุดูดซับ
3. ป้องกันที่ตัวผู้ปฎิบัติงาน
3.1 การลดระยะเวลาการทำงานกับเสียงดัง
3.2 การใช้ที่ครอบหู (Ear Muffs)
3.3 ที่อุดหู (Ear Plug)