อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลPersonal Protective Equipment
มาตรฐาน EN14126 ในชุด PPE คืออะไร
การทดสอบมาตรฐาน EN 14126 คืออะไร?
ชนิดของหมวกนิรภัย
ชนิด I เป็นหมวกช่วยลดแรงกระแทก บริเวณศีรษะเท่านั้น
ชนิด II เป็นหมวกที่ช่วยลดแรงกระแทก บริเวณตรงกลางหรือด้านบนศีรษะ
ประเภทของหมวกนิรภัย
1.หมวกนิรภัย ชนิดClass G ลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงต่ำ
- ต้องต้านทานแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ 2,200โวลต์ ที่ความถี่ 50 Hz เป็นเวลา 1 นาที
- ค่าแรงกระแทกสูงสุดที่ส่งผ่านหมวกไม่เกิน 4,448 นิวตัน
- ค่าเฉลี่ยกระแทกที่ส่งผ่านติ้งไม่เกิน 3,781 นิวตัน
- ความต้านทานแรงเจาะ รอบเจาะที่เกิดขึ้นต้องลึกไม่เกิน 10 มม. ใช้ในการก่อสร้าง งานทั่วไป
2.หมวกนิรภัย ชนิด Class E ลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงสูง
- ต้องต้านทานแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับได้ 20,000 โวลต์ ที่ความถี่ 50 Hzเป็นเวลา3นาที
- ค่าแรงกระแทกสูงสุดที่ส่งผ่านหมวกไม่เกิน 4,448 นิวตัน
- ค่าเฉลี่ยกระแทกที่ส่งผ่านติ้งไม่เกิน 3,781 นิวตัน
- ความต้านทานแรงเจาะ รอบเจาะที่เกิดขึ้นต้องลึกไม่เกิน 10 มม. ใช้ในงานกันไฟฟ้าแรงสูง
3.หมวกนิรภัย ชนิด Class C มวกนิรภัยที่ไม่สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ เนื่องจากเป็นโลหะ
- ค่าแรงกระแทกสูงสุดที่ส่งผ่านหมวกไม่เกิน 4,448 นิวตัน
- ค่าเฉลี่ยกระแทกที่ส่งผ่านติ้งไม่เกิน 3,781 นิวตัน
- ความต้านทานแรงเจาะ รอบเจาะที่เกิดขึ้นต้องลึกไม่เกิน 10 มม. ใช้ในงานขุดเจาะน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมัน แก๊ส
4.หมวกนิรภัย ชนิด Class D หมวกนิรภัยที่สามารถทนความร้อนสูงได้
- ทำด้วยพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส เม่อติดไฟแล้วต้องดับได้เอง
- ค่าแรงกระแทกสูงสุดที่ส่งผ่านหมวกไม่เกิน 4,448 นิวตัน
- ค่าเฉลี่ยกระแทกที่ส่งผ่านติ้งไม่เกิน 3,781 นิวตัน
- ความต้านทานแรงเจาะ รอบเจาะที่เกิดขึ้นต้องลึกไม่เกิน 10 มม. ใช้ในงานดับเพลิง งานเหมือง
หมวกนิรภัยแต่ละสี มีความหมายในตัวเองยังไงบ้าง?
dolor sit amet
1. ตรวจสอบหมวกนิรภัยทุกครั้งก่อนนำไปใช้งาน
ประเภทของหน้ากากอนามัย
หน้ากากอนามัยแบบทั่วไป
หน้ากากอนามัยแบบ N95
ประโยชน์ของหน้ากากอนามัย
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของหน้ากากอนามัยคือ หน้ากากอนามัยช่วยป้องกันมลพิษและเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเชื้อโรคจากผู้อื่น และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้เป็นอย่างดี จึงทำให้วงการแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้คนทั่วไปใช้หน้ากากอนามัยเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรค เพราะลดความเสี่ยงการติดเชื้อระหว่างคนสู่คนได้ โดยมีการศึกษาพบว่าหน้ากากอนามัยนั้นช่วยกรองเชื้อโรคออกได้ถึง 80% ทว่าก็ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
ข้อจำกัดของหน้ากากอนามัย
ไม่สามารถป้องกันได้ 100%
หน้ากากอนามัยส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเพียงประมาณ 80% ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ หากเป็นหน้ากากอนามัยชนิด N95 ป้องกันได้ 95% ดังนั้น ผู้ใช้จึงยังอาจมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้
ไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ทุกชนิด
แม้จะช่วยป้องกันเชื้อโรคได้ในระดับหนึ่งแต่ยังไม่มีการทดสอบว่าสามารถป้องกันเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่งได้อย่างเจาะจง ดังนั้น หน้ากากอนามัยจึงไม่สามารถใช้เพื่อป้องกันโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะได้
ใช้ได้ครั้งเดียว
หน้ากากอนามัยเกือบทุกชนิดจะเป็นชนิดใช้แล้วทิ้ง และไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือทำความสะอาดได้ เนื่องจากเมื่อใช้แล้วเชื้อโรคจะติดอยู่บนหน้ากากอนามัย หากใช้ซ้ำก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
ไม่มีผลวิจัยชัดเจนว่าช่วยป้องกันได้
แม้วงการแพทย์จะแนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยป้องกันมลพิษหรือการติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนว่าหน้ากากอนามัยมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจหรือมลพิษมากเพียงใด
Lorem ipsum dolor
ผู้ที่ต้องอยู่ใกล้หรือมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
ผู้ที่มีอาการป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจซึ่งต้องใกล้ชิดกับคนปกติ หรือต้องออกไปนอกบ้าน
ผู้ที่ต้องเข้าไปยังบริเวณเสี่ยงติดเชื้อ หรือสถานที่ที่มีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรงพยาบาล หรือสถานที่ที่มีคนแออัด เป็นต้น
หากจะพูดว่าทำไมต้องใช้ ถุงมือกันความร้อน แล้วละก็ เหตุผลหลักๆ ที่เราหาอุปกรณ์หรือตัวช่วยต่างๆ มาป้องกันร่างกายของเราให้ทนต่อการสัมผัสงานที่มีความร้อนสูง หรือ ทำอาหาร
ป้องกันมือของเราจากการสัมผัสอุปกรณ์ที่มีความร้อนสูงจากการเผ่า ปิง ย่าง หรือมีการกระเด้นของสะเก็ดไฟ น้ำร้อน เป็นต้น เพราะมันจะช่วยป้องกันมือของเราจากการไหม้ไดช่วยในการจัดเรียง อาหารหรือขนมที่อยู่ในเตาอบ หรือระหว่างย่างอาหารนั้นต้องมีการพลิกกลับของอาหารในขณะที่เตาเผ่าของเรามีความร้อนสูงมาก ถุงมือกันความจะช่วยป้องกันไอความร้อนที่ออกมาจากเตาได้ช่วย
การป้องกันรอยขูดและบาดแผล ถุงมือป้องกันความร้อนมีคุณภาพมาก เพราะมันทำจากวัสดุที่ทนทานและมีความหนาเป็นพิเศษซึ่งสามารถปกป้องคุณจากของมีคมและวัตถุโลหะขณะย่างด้วย
ทำไมชุดดับเพลิงที่สวมใส่สบายตัวจึงจำเป็น
เนื้อผ้าชุดดับเพลิงที่ใช้ในอุตสาหกรรมนั้นมีประโยชน์ใช้สอยพื้นฐานอยู่ 3 แบบ
เพลิงไหม้ฉับพลัน
ไฟอาร์ค
การดับเพลิง
ทำไมความสบายตัวจึงสำคัญเมื่อเลือก PPE
น้ำหนักเบา: ชุดป้องกันที่หนักและหนามากนั้นสามารถทำให้พนักงานเหงื่อออกมากขึ้นและเกิดอาการโอเวอร์ฮีทได้ง่าย เพิ่มความเสี่ยงของการเกิด heat stress และความเจ็บป่วยอื่นๆที่เกิดจากความร้อน นวัตกรรมล่าสุดของใยกันไฟและใยผสมนั้นทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตเครื่องแต่งกายจากผ้าน้ำหนักเบาเพื่อลดภาระด้านน้ำหนักให้ผู้ใส่ได้
อากาศถ่ายเทได้ดี: ข้อเสียที่มักจะพบได้บ่อยครั้งเกี่ยวกับ PPE คือมันมักจะกักเก็บความร้อนไว้ใกล้กับร่างกายของคนงาน ในเขตอากาศอบอุ่นหรือสถานที่ที่มีความร้อนสูงนั้น เรื่องนี้สามารถกลายเป็นปัญหาหลักด้านความปลอดภัยได้เนื่องจากมันจะนำไปสู่ heat stress ทุกวันนี้ชุดป้องกันที่อากาศถ่ายเทนั้นช่วยลดภัยที่เกิดจากความร้อนได้โดยการปล่อยให้ร่างกายระบายความร้อนได้เองตามธรรมชาติ
มอยส์เจอร์-วิกกิ้ง (Moisture-wicking): การผสมผสานไฟเบอร์กันน้ำที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นและใยที่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำจากธรรมชาตินั้นทำให้เกิดการ มอยส์เจอร์-วิกกิ้ง (Moisture-wicking) จากคุณสมบัติที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกันของไฟเบอร์ทั้งสองประเภทนี้นั่นเอง
1. ป้องกันของตกใส่เท้า เมื่อคนงานต้องยกของหนักๆ หรือ จำเป็นต้องทำงานในที่ที่มีเครื่องจักร หรือ ยานพาหนะ จำนวนมากๆ การหล่นของสิ่งของนั้นเป็นปัจจัยแรกๆของอันตรายต่างๆ เพราะฉะนั้น การใส่รองเท้าเซฟตี้เพื่อป้องกันเท้าจะสามารถช่วยป้องกันนิ้วเท้าหักและการบาดเจ็บของเท้าได้
2. ป้องกันการเจาะทะลุ สภาพแวดล้อมบางแห่งอาจจะมีวัตถุที่แหลมคม ซึ่งสามารถบาดหรือเจาะ ทำให้เท้าได้รับบาดเจ็บ การใส่รองเท้าเซฟตี้นั้นจะสามารถช่วยได้เพราะรองเท้าเซฟตี้มีพื้นที่แข็งแรง หรือในบางรุ่นอาจจะมีพื้นเสริมแผ่นเหล็กเพื่อป้องกันตะปูได้อีกด้วย
3. ป้องกันการตัดเฉือน งานบางประเภทนั้น อาจจำเป็นมีการตัดหรือเฉือน ซึ่งงานประเภทนี้จำเป็นต้องใช้รองเท้าที่ผลิตจากวัสดุที่กันบาดโดยเฉพาะ รองเท้าที่สามารถกันการตัดเฉือนได้
4. ป้องกันไฟฟ้า สำหรับผู้ที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า จำเป็นที่จะต้องใช้รองเท้าเซฟตี้สามารถกันไฟฟ้าได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะผลิตจากหนังแท้, ยาง หรือวัสดุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้าและไม่มีรอยเย็บระหว่างพื้นรองเท้ากับตัวรองเท้า
5. ป้องกันการลื่นไถล จริงๆแล้วการลื่นไถลนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกๆที่ แต่ว่าคนงานที่ต้องทำงานกับเครื่องจักรหรือยานพาหนะ จะต้องเจอกับคราบน้ำมันที่มีความลื่น เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกรองเท้าเซฟตื้ที่มีพื้นดอกยางลึก เพื่อให้ยึดเกาะพื้นผิวให้ดีขึ้น การที่เราเลือกรองเท้าเซฟตี้ที่มีพื้นดอกยางลึกนั้นยังช่วยลดการสึกของพื้นรองเท้ารวมถึงการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย
6. ลดอาการเมื่อยล้า สำหรับคนงานที่ต้องยืนทำงานทั้งวัน โดยเฉพาะคนงานที่ต้องยืนบนพื้นแข็งๆอย่างเช่น คอนกรีต ความปวดเมื่อยนั้นเป็นปัญหาที่สำคัญมากๆ เราจึงต้องเลือกรองเท้าเซฟตี้ที่มีน้ำหนักเบา พื้นนิ่ม เพื่อให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและลดการเกิดอาการปวดเมื่อย
7. ป้องกันการเผาไหม้ การถูกเผาไหม้จากไฟนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในการทำงาน แต่สารเคมีก็สามารถเผาไหม้ได้เช่นกัน โดยรองเท้าเซฟตี้ที่ใช้นั้นควรจะผลิตจากหนังแท้ ไม่ควรเป็นหนัง PVC เพราะว่า หนังแท้มีความทนทานสูงและไม่เกิดการลามของไฟ
8. ป้องกันสภาพอากาศ การทำงานในพื้นที่ที่เย็นจัดหรือร้อนจัดโดยเฉพาะคนงานที่ต้องทำงานในห้องแช่แข็งหรือทำงานหน้าเตาหลอม สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม เราควรใช้รองเท้าเซฟตี้ที่มีพื้นรองเท้าที่หนาและทนทานต่อสภาพพื้นผิวหน้างานนั้นๆ
" Fresh Everyday "
เสื้อสะท้อนแสงมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
1. ให้ผู้อื่นมองเห็นบุคคลที่ใส่เสื้อสะท้อนแสงจากแสงไฟที่ส่องในขณะทำงานในที่อับแสง มืด หรือตอนเวลาหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน
2. เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะทำให้เกิดจากบุคคลอื่นกับตัวพนักงานที่สวมใส่เสื้อสะท้อนแสง
เสื้อสะท้อนแสงจำเป็นสำหรับคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย และเน้นความปลอดภัย เช่น ตำรวจจราจร พนักงานสร้างหรือซ่อมบำรุงผิวจราจร พนักงานติดตั้งซ่อมบำรุงเสาไฟฟ้า ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนใส่เสื้อสะท้อนแสงทั้งนั้นเวลาปฏิบัติงาน เพราะจะทำให้สังเกตได้ง่าย เมื่อแสงไฟตกกระทบแถบของเสื้อจากระยะไกล
สถานประกอบกิจการโรงงาน เช่น คลังสินค้าที่มีรถโฟร์คลิฟท์ เพราะคลังสินค้าส่วนมากมักมีแสงสว่างไม่เพียงพอ ดังนั้นการใส่เสื้อสะท้อนจะทำให้สังเกตได้ง่าย และสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล
สนาบินยังมีข้อกำหนดให้ใช้เสื้อสะท้อนแสงทุกครั้งเมื่อเข้าไปปฏิบัติงานบริเวณ ทางวิ่ง ทางขับ ลานจอด อากาศยาน ตามระเบียบกรมการบินพลเรือน ว่าด้วยมาตรฐานของระเบียบเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินงานสนามบินในที่มีแสงน้อย
1. ตัวบุคคล คือ ผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ต่างๆ และเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
2. สิ่งแวดล้อมในสถานที่ปฏิบัติงาน คือ ตัวองค์กรหรือโรงงาน รวมถึงสถานที่ขณะปฏิบัติงาน ที่บุคคลนั้นทำงาน
3. เครื่องมือ เครื่องจักร คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน
อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล PPE. ( Personal Protective Equipment) หมายถึงอุปกรณ์ที่ผู้ปฎิบัติงานสวมใส่ ขณะปฎิบัติงานเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากลักษณะการปฏิบัติงาน สภาพการทำงาน และสิ่งแวดล้อมในสถานที่ปฏิบัตงานการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลเพื่อป้องกันอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้
อุปกรณ์ป้องกัน ดวงตาและใบหน้า (Eye and face protection)
อุปกรณ์ป้องกันเท้า (Foot Protection)
อุปกรณ์ป้องกันมือ(Hand protection)
อุปกรณ์ป้องกันอุปกรณ์ป้องกันศีรษะ (Head Protection)
อุปกรณ์ลดเสียง ป้องกันการได้ยิน(Hearing protection)
อุปกรณ์ป้องกัน ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory protection)
อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง (Falling Protection)
อุปกรณ์ป้องกันป้องกันร่างกาย(Body protection)
อุปกรณ์ป้องกันไฟ และป้องกันสารเคมี(Fire fighting device and chemical protection)
ถุงมือกันความร้อน ถุงมือกันความเย็น คืออะไร
การทำงานด้านอุตสาหกรรม อาจจะต้องเผชิญทั้งสารเคมี, สารพิษ, สภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย รวมถึงการทำงานในสภาพแวดล้อมหรือต้องมีการสัมผัสกับวัสดุและอุปกรณ์ที่มีความร้อนหรือเย็นมากกว่าปกติ ซึ่งผู้ทำงานจะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันอย่างถุงมือกันความร้อนและถุงมือกันความเย็น เพื่อป้องกันอันตรายและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยคุณสมบัติที่น่าสนใจของถุงมือทั้ง 2 แบบ คือ
1. ถุงมือกันความร้อน
2. ถุงมือกันความเย็น
เลือกถุงมือกันความร้อนและถุงมือกันความเย็นอย่างไร จึงจะใช้งานได้ดี
1. เลือกวัสดุคุณภาพ
2. เลือกความทนทาน
3. ใช้งานได้ปลอดภัย
4. มีความเหมาะสมต่องาน
5. ราคาเหมาะสม
1. ป้องกันอาการบาดเจ็บ
2. ป้องกันอันตรายร้ายแรง
3. หนึ่งอุปกรณ์ป้องกันที่ถูกต้อง
4. ลดความเสี่ยงสัมผัสเชื้อ
5. ลดความเสียหายในชิ้นงาน
6. ลดปัญหาอาการแพ้
7. เพิ่มความมั่นใจในการทำงาน
ความสำคัญของถุงมือที่ใช้ในโรงพยาบาล
การทำงานในโรงพยาบาลของบุคลากรทุกสายอาชีพ ย่อมมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อมากกว่าอาชีพอื่น ๆ แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่เชื้อไวรัสโควิด 19 เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเชื้อที่มาพร้อมกับโรคต่าง ๆ ของผู้ป่วย ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ป้องกันภายในโรงพยาบาลจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งหนึ่งในอุปกรณ์ที่ต้องมีทุกโรงพยาบาลและต้องเลือกใช้แบบมีมาตรฐาน คือ ถุงมือ เพราะส่วนของนิ้วมือ, ฝ่ามือ รวมไปถึงข้อมือ เป็นจุดที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้มากที่สุด ซึ่งความสำคัญของถุงมือยังมีอีกหลากหลายด้าน คือ
- ลดปัญหาการติดต่อของเชื้อไปสู่ผู้อื่นมากขึ้น
- ลดปัญหาการติดเชื้อของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ในขณะที่รักษาหรือดูแลผู้ป่วย
- ช่วยป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีอันตรายโดยตรง
- ถ้าต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เมื่อใช้ถุงมือแล้วจะลดความอันตรายลงได้
- ทำให้หยิบจับอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ง่าย สะดวก และติดมือมากขึ้น
- เมื่อต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย รวมไปถึงสิ่งขับถ่ายที่ปนเปื้อนเชื้อ ถุงมือจะเป็นตัวช่วยสำคัญลดความเสี่ยงเชื้อเข้าสู่ตัวผู้สัมผัสได้มากเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถุงมือที่ดีและมีคุณภาพ ขณะที่สวมใส่อยู่จะไม่ฉีกขาดง่ายเกินไป
- ถ้าถุงมือถูกผลิตมาจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน จะทำให้การทำลายเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เลือกถุงมืออย่างไรให้เหมาะสมต่อการใช้งานในโรงพยาบาล
การเลือกใช้ถุงมือสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ภายในโรงพยาบาล จำเป็นจะต้องเลือกจากการผลิตที่ได้มาตรฐาน วัสดุมีคุณภาพและเป็นโรงงานผลิตที่ผ่านการรับรองมาเป็นอย่างดี เพื่อให้มั่นใจต่อการใช้งานถุงมือมากขึ้น ดังนั้นลองมาดูว่าถุงมือใช้ในโรงพยาบาลมีแบบใดบ้างที่ใช้งานได้อย่างเหมาะสม
1. ถุงมือสำหรับผ่าตัด
2. ถุงมือสำหรับตรวจโรค
3. ถุงมือไนไตร
4. ถุงมือชนิดมีแป้งและไม่มี
ความแตกต่างระหว่างถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือไนโตร
ถุงมือยาง
ถุงมือไนโตร
ถุงมือไนโตรมีให้เลือกอยู่ด้วยกันหลายประเภท โดยจะแบ่งออกเป็น 3 เกรดสำหรับการใช้งานแต่ละประเภท โดยเกรดที่ดีที่สุดคือ Medical grade ที่ผ่านการรับรองของ FDA หรือองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาว่ามีมาตรฐานในการป้องกันระดับสูงสุด จึงช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าเป็นถุงมือไนโตรที่มีคุณภาพสูง สามารถใช้ได้ในงานที่เกี่ยวกับการแพทย์และงานที่มีความละเอียดอ่อนสูงอย่างปลอดภัย รองลงมาก็จะเป็นเกรด High-risk category ที่ใช้ได้ในทางการแพทย์ทั่วไป อย่างเช่นการตรวจวินิจฉัยต่าง ๆ และท้ายที่สุดคือเกรดสำหรับใช้งานทั่วไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะผ่านกระบวนการผลิตและมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
เลือกใช้งานถุงมือประเภทไหนดี
เมื่อได้ทราบความแตกต่างระหว่างถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือไนโตรดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว คุณก็จะสามารถเลือกใช้งานถุงมือได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยการเลือกใช้งานถุงมือแต่ละประเภทอาจใช้วิธีเลือกดังต่อไปนี้
- ถุงมือยางธรรมชาติ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความคล่องตัวและละเอียดอ่อนอย่างเช่นการผ่าตัด
- ถุงมือไนโตร เหมาะสำหรับงานที่ต้องมีการสัมผัสกับสารเคมี, งานในโรงงานอุตสาหกรรม, งานในห้องปฏิบัติการ ที่ต้องมีการสัมผัสกับสารเคมีอันตรายและสารพิษต่าง ๆ , งานในการผลิตอาหาร, งานที่ต้องสัมผัสกับน้ำและความชื้นต่าง ๆ เป็นต้น และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ถุงมือยางธรรมชาติ
ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือไนโตรนั้น มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้ใช้จึงควรเลือกประเภทของถุงมือที่เหมาะสมกับการใช้งาน แต่อย่างไรก็ดีหากมีอาการแพ้ที่เกิดจากการใช้ถุงมือยางธรรมชาติ ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ถุงมือไนโตรเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันนี้มีการนำชุด PPE มาใช้กันเป็นจำนวนมากในงานส่วนที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อ ซึ่งชุดที่ใช้ในการปฏิบัติงานดังกล่าวมีอยู่ด้วยกันหลายระดับ ดังนี้
1. Standard PPE
2. Full PPE
3. Enhance PPE
ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญของชีวิตมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันการใช้ไฟก็ต้องมีความระมัดระวังสูง เพราะเสี่ยงต่อชีวิตเป็นอย่างมาก การสัมผัสกับกระแสไฟโดยตรงในปริมาณอาจทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ด้วยสาเหตุนี้เองจึงเกิดเป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าและไฟฟ้าแรงสูง เพื่อป้องกันผู้ที่ต้องทำงานกระแสไฟฟ้าโดยตรง พร้อมช่วยรักษาชีวิตได้มากขึ้น
สำหรับอุปกรณ์สำคัญที่ควรมีในการป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและอาจจะทำอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงผู้ที่ต้องทำงานกับไฟฟ้าโดยตรงจะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
1. อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าโดยตรง
2. อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าคนทำงาน
5 มาตรฐานในการทำงานที่มีความเสี่ยงสูงตามหลัก สสปท. มีอะไรบ้าง?
1. มปอ. 101 : 2561
2. มปอ. 301 : 2561
3. มปอ. 302 : 2561
4. มปอ.401 : 2561
5. มปอ. 402 : 2561
4 วิธีเลือกอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าให้คุ้มค่าและใช้งานได้ดี
1. เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน
2. ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ
3. ไม่ก่อให้เกิดอันตรายขณะใช้งาน
4. เหมาะสมกับใบหน้า
แว่นตาเลเซอร์มีคุณสมบัติอย่างไร
แว่นตาเลเซอร์หรือ Laser Glass and Safety จะถูกใช้ในงานที่มีการยิงแสงเลเซอร์ เพื่อการผลิตหรือประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งแสงเลเซอร์บางชนิดสามารถมองได้ด้วยตาเปล่าแบบไม่เกิดอันตรายใด ๆ แต่แสงบางประเภทจะเป็นการสะท้อนออก จึงทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้ง่ายหรืออาจจะทำให้ตาบอดได้อย่างรวดเร็ว การเลือกแว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์ จึงมีความสำคัญสูงในงานที่จะต้องมีความเสี่ยงต่าง ๆ แม้แต่แพทย์ผิวหนังก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการใช้งานแสงเลเซอร์ด้วยเช่นกัน เพราะอุปกรณ์เพื่อผิวพรรณที่ขาวสว่างใสและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับผิว จะมาในรูปแบบของแสงเลเซอร์หลายชนิด ดังนั้นจึงต้องมีการเลือกซื้อแว่นให้เหมาะสมต่อลักษณะของงานมากที่สุด
รูปแบบแว่นตาเลเซอร์กับการใช้งานในด้านต่างๆ
1. แว่นเลเซอร์สำหรับแพทย์
2. แว่นเลเซอร์งานก่อสร้าง
3. แว่นเลเซอร์งานอุตสาหกรรม
1. กันกระแทกรอบด้าน
2. การผลิตได้มาตรฐาน
3. มีเลนส์ที่เหมาะสมกับงาน
Lorem ipsum
5. มีความแข็งแรงทนทานสูง
1. ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ
2. สภาพร่างกายไม่พร้อมทำงาน
3. ไม่สวมใส่อุปกรณ์เซฟตี้
4. ความประมาท
5. เครื่องจักรไม่พร้อมทำงาน
วิธีเลือกหน้ากากเชื่อมเพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานที่สุด
หน้ากากเชื่อมนั้นเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่สำคัญที่สุดที่ช่างเชื่อมต้องมี เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันประกายไฟแล้ว ยังช่วยปกป้องดวงตาจากรังสีอินฟราเรดและรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายขณะทำงานเชื่อมอีกด้วย
โดยหน้ากากเชื่อมนั้นมีจำหน่ายในท้องตลาดอยู่ 2 ประเภทคือ หน้ากากเชื่อมแบบธรรมดาและหน้ากากเชื่อมปรับแสงออโต้ ซึ่งบทความนี้จะมาบอกถึงลักษณะของหน้ากากเชื่อมแต่ละประเภท และความแตกต่างของทั้ง 2 ประเภท
1. หน้ากากเชื่อมปรับแสงอัตโนมัติ
หน้ากากเชื่อมปรับแสงอัตโนมัติ คือหน้ากากเชื่อมที่ถูกติดตั้งเลนส์กรองแสงอัตโนมัติไว้ในตัว และยังมีเซ็นเซอร์วัดแสงหลายตัวหรือที่เรียกว่าเซ็นเซอร์อาร์ค ที่ช่วยระบุสีที่จำเป็นและไม่จำเป็นต้องใช้ได้ หมวกเชื่อมที่มีคุณภาพจะมาอาร์คเซ็นเซอร์ติดอยู่ประมาณ 3 ถึง 6 ตัว เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน หน้ากากเชื่อมจะทำให้เลนส์มืดลงโดยใช้ชุดเฉดสีตั้งแต่เฉดสีที่ 8 ถึง 13
นอกจากนี้ มุมมองการมองเห็นจะไม่ถูกกีดขวางแม้หน้ากากจะคว่ำอยู่ก็ตาม เพราะหน้ากากเชื่อมได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนผ่านเลนส์แสง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถให้เห็นกระบวนการเชื่อมของคุณได้
หมวกเชื่อมปรับแสงอัตโนมัตินั้นหากจะกล่าวแล้ว ต้องบอกว่าเป็นหน้ากากเชื่อมที่ตอบโจทย์ที่สุด ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะผู้ใช้งานไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแผ่นกรองด้วยตัวเองอยู่บ่อย ๆ ครั้ง ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้ทำงานเชื่อมได้ต่อเนื่องจนเสร็จงาน
คุณสมบัติของหน้ากากเชื่อมปรับแสงออโต้
- การควบคุมการทำงาน นอกจากเลนส์แล้ว หน้ากากเชื่อมเหล่านี้ยังอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดการตั้งค่าความไวและการกำหนดค่าอื่นๆ เพื่อให้เหมาะกับกาารใช้งาน และให้ความสะดวกสบายมากที่สุด อีกทั้ง บางชนิดยังเพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานที่ปล่อยความเย็นออกมาเมื่อได้รับความร้อนขณะทำงานเชื่อมด้วย
- สะดวกสบาย และมีน้ำหนักเบา แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูใหญ่ แต่ทว่าหน้ากากเชื่อมเหล่าให้ความกระชับและโอบรับศีรษะได้อย่างสบายขณะสวมใส่ หน้ากากเชื่อมที่หลวมและมีน้ำหนักเยอะทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกระบวนการเชื่อมของคุณ โดยเหตุนี้เองทำให้หน้ากากเชื่อมแบบปรับแสงอัตโนมัติมีให้เลือกหลายขนาดเพื่อให้เข้ากับโครงสร้างของช่างเชื่อมได้พอเหมาะ วัสดุบุมีความนุ่มช่วยรองรับแรงกระแทกที่โหนกแก้ม คอ และกระดูกสันหลังของคุณ
- ตัวกรองแสง UV หรือ IR อัตโนมัติ กลไกที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากเชื่อมเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องแสงอาร์คที่สว่างจ้า ฟิลเตอร์โพลาไรซ์จะมืดลงโดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับพลังการแทรกซึมของรังสี UV และ IR ที่ปล่อยออกมา เพื่อการปกป้องดวงตาที่ดีที่สุด
- ค่าเปลี่ยนเลนส์ เลนส์ทดแทนระดับพรีเมียมสำหรับหน้ากากเชื่อมแบบลด/ปรับแสงอัตโนมัติอาจมีราคาสูงขึ้นอยู่กับยี่ห้อและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์
ข้อดี
- ปกป้องใบหน้าจากรังสีที่เป็นอันตราย
- ให้การป้องกันการเชื่อมที่ยอดเยี่ยม
- มาพร้อมระบบกรองเลนส์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ปรับความมืดโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เข้าสเปกตรัมแสงที่ปล่อยออกมา
- หน้าจอ LCD คุณภาพสูงช่วยให้สามารถปรับความไวแสง และการกำหนดค่าระดับเฉดสีได้ด้วยตนเอง
ข้อเสีย
- ราคาแพง
- มักใช้แบตเตอรี่ และต้องมีการเปลี่ยนอยู่เสมอ เมื่อแบตเตอรี่ที่ใช้งานหมดอายุไข
- อะไหล่มีราคาแพง
- ดูมืดลงในครั้งแรกที่อาร์คเกิดประกายไฟ
2. หมวกเชื่อมแบบธรรมดา
หมวกนิรภัยสำหรับการเชื่อมแบบธรรมดาถูกติดตั้งด้วยเลนส์บังแสงในตัว เป็นหน้ากากเชื่อมแบบทั่วไปตามท้องตลาด เลนส์ประกอบไปด้วยกระจกแบบมาตรฐานเคลือบด้วยฟิลเตอร์เพื่อปกป้องผู้ใช้จากรังสีอินฟราเรดและรังสีอัลตราไวโอเลตขณะทำการเชื่อม
ค่าเปลี่ยนเลนส์
เนื่องจากหน้ากากเชื่อมมีราคาที่จับต้องได้ ราคาการเปลี่ยนเลนส์จึงมีราคาไม่แพง
ข้อดี
- หน้ากากเชื่อมแบบธรรมดามีราคาถูกหน้ากากเชื่อมปรับแสงอัตโนมัติพอสมควร
- ช่วยปกป้องใบหน้าและหัวเชื่อมได้อย่างดี
- เพิ่มมุมมองการมองเห็นขณะทำงานเชื่อม
- เลนส์หรือชิ้นส่วนอะไหล่เปลี่ยนได้ง่ายและราคาไม่แพง
- ไม่ใช้แบตเตอรี่และไม่มีการควบคุมทางเทคนิคใดๆ
- เลนส์แก้วเคลือบสารป้องกันรังสีอินฟราเรดและยูวี
ข้อเสีย
- ทำได้แค่การหงายขึ้นหรือลงเท่านั้น ทำให้การทำงานในห้องเล็กยาก
- การขยับหมวกกันน็อคขึ้นลงซ้ำๆ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายและปวดคอ
- เมื่อต้องการลดระดับแสงต้องใช้การปรับแบบแมนนวล
- ต้องมีการทำงานหลายอย่างพร้อมกันเมื่อทำการเชื่อมและยก/ลดหมวกกันน็อคพร้อมๆ กัน
- ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกหน้ากากเชื่อมแบบปรับแสงอัตโนมัติหรือแบบธรรมดา สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกคือข้อดีและข้อเสียของหน้ากากแต่ละใบ เพื่อการเลือกซื้อสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง โดยทางกู๊ดวิลเอง ขอเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับหน้ากากที่ดีที่สุด คุณภาพดี อายุการใช้งานที่ยาวนาน เพื่อให้ผู้ใช้ทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน